Menu Engineering ออกแบบเมนูอย่างไร ให้ได้กำไรมากขึ้น (ตอนที่ 1)

เมนูอาหารเปรียบเสมือนตู้โชว์ที่คอยแนะนำอาหารทุกจานของคุณให้แก่ลูกค้า ความน่าสนใจของการจัดวางสินค้าภายในตู้โชว์ย่อมส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจสั่งซื้อ นั่นหมายถึงยอดเงินที่ลูกค้ายินดีที่จะจ่ายให้คุณ .

เมนูอาหารที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่เมนูที่สวยที่สุด แต่เป็นเมนูที่สามารถทำกำไรได้มากที่สุด . #แล้วจะออกแบบเมนูอย่างไร ถึงจะช่วยให้คุณทำกำไรได้มากขึ้น?

ตัวผมเองก็ออกแบบเมนูมาให้หลายเจ้าหลายร้าน และก็ต้องพบเจอความต้องการประมาณว่า

เราจะต้องเรียงราคาเมนู จากน้อยไปมาก ตามลำดับ, ชื่อเมนูต้องเรียงตามตัวหนังสือ A - Z, ต้องใส่หรือไม่ใส่เครื่องหมายดอลลาร์ ($) และอื่น ๆ อีกมากมาย

แต่หารู้ไม่ว่าการทำแบบนี้ บางทีมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย และแทนที่เมนูบางตัวน่าจะขายดี กับขายได้ไม่ถึงเป้า เพราะการทำแบบนี้อีกต่างหาก

ทีนี้มาดูกันดีกว่าว่า จะออกแบบยังไง ให้ได้กำไรมากขึ้น #และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความต่างของการออกแบบเมนู เพราะคุณอาจจะหาคนออกแบบที่ได้ราคา ”ถูกที่สุด สวยที่สุด” แต่นั่นไม่ได้ “ดีที่สุด” สำหรับร้านของคุณ

แล้วที่สำคัญคือ สิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้ ผ่านการวิจัยกันมาแล้ว ไม่ใช่การติ๊งต่างขึ้นมาเอง ใครที่สนใจอยากอ่านตัวบทวิจัยต้นฉบับที่ผมได้อ่าน ๆ มา เดี๋ยวผมจะแปะชื่องานวิจัยไว้ให้ที่ด้านล่างบทความนะครับ

มาดูกันเป็นข้อ ๆ กันเลย .

1. First Impressions Count

เมื่อเปิดเมนู หรือหยิบเมนูขึ้นมาแล้ว ตาเรามองไปที่ไหนก่อน?

คนส่วนใหญ่แล้วจะมองไปที่บริเวณกลางหน้ากระดาษก่อน (ขอย้ำว่าคนส่วนใหญ่นะครับ) สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือ จัดวางเมนูแนะนำหรือเมนูที่เราอยากให้คนสั่ง ไว้บริเวณกึ่งกลางหน้ากระดาษ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ลูกค้าจะมองเห็นเป็นลำดับแรก .

2. ลิสต์เมนูในแต่ละคอลัมน์ มีประมาณ 6 - 7 เมนู กำลังดี

เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าลิสต์มันยาวไป คนก็เริ่มท้อที่จะอ่าน และอาจจะอ่านแค่หัวกับหาง ทำให้พวกเมนูต่าง ๆ ที่เราใส่ไปในตรงกลางลิสต์ถูกละเลยและไม่ได้รับความสนใจ

ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าพึ่งสับสนกับข้อแรกที่ให้จัดเมนูแนะนำไว้ที่กึ่งกลางหน้ากระดาษ เพราะนั้นหมายถึง Layout หน้ากระดาษ แต่ข้อนี้เรากำลังพูดถึงลิสต์ในแต่ละหมวดหมู่ .

3. ร้านอาหารที่เจาะกลุ่มลูกค้า ตลาดกลาง - ตลาดบน ไม่ควรใส่ “$” ลงไปในเมนู

เหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็เพราะเราไม่อยากให้ลูกค้าไปโฟกัสที่ราคาเวลาสั่งอาหาร แต่เมื่อเราใส่ Dollar Sign เข้าไป มันก็ไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้เลย นอกจากเรื่อง “เงิน เงิน เงิน”

ตัวอย่างเช่น $45 เราก็สามารถเปลี่ยนเป็นแค่ 45 - หรือ 45 หรือ | 45 นอกจากจะทำให้ไม่ต้องไปสนใจเรื่องราคามากนัก การเอา $ ออก ยังทำให้เมนูดีไซน์โดยรวมดู Modern ขึ้นมาก ๆ อีกด้วย

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีวิจัยที่เกี่ยวกับตัวเลขลงท้ายของราคา เช่น .9 หรือ .0

หลาย ๆ คนคงรู้อยู่แล้วว่าถ้าอยากทำให้ดูราคาถูกก็ต้องลงด้วย .9 สิ แต่ถ้าคุณเป็นร้านที่ Upscale ขึ้นมาหน่อย คุณควรลงท้ายด้วย .0 เพราะว่าการใช้ .9 จะทำให้อาหารเราดูถูก ซึ่งก็แปลว่าคุณภาพก็ด้อยลงมาด้วย ยกตัวอย่างเช่น Lobster | 59.9 กับ Lobster | 60

4. แต่มันก็มีในกรณีที่เราอยากให้ลูกค้าสนใจเรื่องราคานะ

ยกตัวอย่างเช่น Wine Lists แล้วทำไมถึงได้ผลกับเมนูไวน์ละ?

ก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้ปัจจัยอื่นในการเปรียบเทียบ ในเรื่องคุณภาพของไวน์ อาจจะมีบ้างบางคนที่ซีเรียสกับแหล่งต้นกำเนิดของไวน์ว่ามาจากประเทศอะไร ภูมิภาคไหน แต่เมื่อเราพูดถึงคนส่วนใหญ่ ก็จะใช้ราคาเป็นเกณฑ์ ในการตัดสินใจเรื่องคุณภาพ ”แพง” คือ ดี และ “ถูก” คือ คุณภาพต่ำ

ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าให้เราใส่ $ กลับเข้าไปนะ แต่เป็นการเรียงราคาให้อยู่ในคอลัมน์เดียวกัน ไล่ลงมาเพื่อให้คนสามารถเปรียบเทียบได้ง่าย ๆ (นึกภาพเอานิ้วรูดลงมาจากบนลงล่าง) แล้วก็ไม่ใช่การเรียงราคาจากมากไปน้อย หรือน้อยไปมากด้วย เหตุผลตามอ่านในข้อต่อไปกันเลย

5. เทคนิค Decoy Pricing เป็นเทคนิคที่เราอยากให้ลูกค้าเปรียบเทียบราคา

บางทีเราก็อยากให้ลูกค้าเปรียบเทียบ ให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า หรือเพื่อไปโน้มน้าว ให้ลูกค้าไปสั่งเมนูตัวที่เราอยากขาย

มันก็มีเทคนิคในการทำอยู่เหมือนกัน และก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตวิทยาโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น (ในเคสตัวอย่างนี้จะใส่ $ เพื่อให้โฟกัสที่ราคานะครับ)

Decoy Pricing แบบที่หนึ่ง

เมนู A ไซส์เล็ก $15 ไซส์กลาง $25 คนก็จะคิดว่าโอ้โห จะเอาไซส์กลางต้องเพิ่มอีกตั้ง $10
แต่ถ้าเราเพิ่มไปอีกอันนึงเป็น Decoy Pricing อยู่ที่ $50 ให้เป็นไซส์ใหญ่ ก็จะให้ความรู้สึกว่า เมนูไซส์กลาง $25 ก็สมเหตุสมผลดีนะ

Decoy Pricing แบบที่สอง

เมนู B ไซส์เล็ก $15 ไซส์กลาง $25 ไซส์ใหญ่ $27 ในกรณีนี้ เมนูไซส์กลางเป็น Decoy Pricing ที่ใส่เข้ามา เพราะเราอยากให้คนคิดว่า เพิ่มอีกแค่ $2 ก็ได้ไซส์ใหญ่ละ คุ้มเกิ๊น!

ถ้าสังเกตุดี ๆ มันก็คือการตั้งราคา หรือเพิ่มราคาอีกตัวเข้าไป เพื่อให้มันดูไม่สมเหตุสมผล และคนก็จะได้ไปเลือกตัวที่มันสมเหตุสมผลนั่นเอง

จะเห็นว่าตัวอย่างข้างบนที่เขียนมา มันก็ไม่ได้มีกฎตายตัวเสมอไป แต่มันขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการอะไร หรือร้านเราเหมาะสมกับการออกแบบเมนูแบบไหน

และนี่ก็เป็นแค่ตัวอย่างบางส่วน ยังมีอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับ #MenuEngineering เช่น การใช้ Typography, การเรียงหรือจัดวางเมนูที่มี Profit Margin มาก/น้อย, การเลือก Font ตัวหนา บาง เอียง ขีดเส้น, การตั้งชื่ออาหาร, การใส่ข้อความบรรยาย, Tone Of Voice ในการเขียนข้อความบรรยาย ฯลฯ

ไว้ผมจะมาเขียนเพิ่มใน Part 2 นะครับ สำหรับ #MenuEngineering .

ใครที่อยากดูตัวอย่างเมนูที่ทางผมได้ทำ แล้วมีหลักการของ Menu Engineering อยู่ด้วย ลองเข้าไปดูได้ที่ https://www.deeden.com.au/menu แล้วคลิ๊ก See Menu ตรงเมนู Eat นะครับ .

สำหรับคนที่อยากอ่านเพิ่มเติม และก็เป็นบทความที่ผมได้อ่านมา แล้วเอามายกตัวอย่างบางส่วน: References:

$ or Dollars: Effects of Menu-price Formats on Restaurant Checks by Sybil S. Yang, Sheryl E. Kimes, Ph.D., and Mauro M. Sessarego. Cornell University School of Hotel Administration

The Effects of Restaurant Menu Item Descriptions on Perceptions of Quality, Price, and Purchase Intention. Michael McCall & Ann Lynn. Journal of Food Service Business Research

เขียนโดย นนทัช


บทความอื่น ๆ


สนใจถ่ายรูปอาหาร โปรดักส์สินค้า หรือทำการตลาด ติดต่อได้ที่

Facebook: www.facebook.com/TheNontouch
Instagram: www.instagram.com/the.nontouch
Email: thenontouch@gmail.com

Sydney, Melbourne, Brisbane, Gold Coast, Sunshine Coast, Adelaide, Canberra

Previous
Previous

ขายดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน Grandma’s Asian Kitchen

Next
Next

แชร์ประสบการณ์อาชีพผู้จัดการร้านอาหารในออสเตรเลีย