จากร้านเล็ก ๆ ในห้องสู่ร้านออนไลน์ที่ส่งจิวเวลรี่ขายไปทั่วโลก

"จากห้องเล็ก ๆ สู่ตลาดโลก" คุณแพท เจ้าของแบรนด์ Victoria’s Closet & Co แบรนด์เครื่องประดับจากเมลเบิร์น แชร์เส้นทางการสร้างธุรกิจในออสเตรเลีย ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจากศูนย์จนกลายเป็นร้านออนไลน์ที่ส่งขายทั่วโลก พร้อมเคล็ดลับการทำคอนเทนต์ให้น่าติดตาม และเหตุผลว่าทำไมเจ้าของแบรนด์ยุคนี้ ควรกล้าออกหน้ากล้อง มาเป็น influencer ด้วยตัวเอง


1. แนะนำตัวให้คนรู้จักหน่อยครับ — ทั้งในบทบาทเจ้าของแบรนด์ Victoria’s Closet & Co และในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในออสเตรเลีย

ชื่อแพทนะคะ ทำธุรกิจ Victoria’s Closet & Co มาตั้งแต่ปี 2020 ตอนนี้กำลังจะเข้าปีที่ 5 สินค้าที่ร้านจะเป็น Clip on earrings จะเหมาะกับคนที่ไม่ได้เจาะหู หรือแพ้มีอาการแพ้โลหะ ทำให้ไม่สามารถใส่ตุ้มหูธรรมดาได้ และตอนนี้เพิ่งเริ่มทำคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้ปีกว่า ๆ ค่ะ

ตอนที่เริ่มทำคอนเทนต์แรก ๆ เริ่มมาจากอยากทำคลิปขายของให้ร้านตัวเอง แต่ก็ไปเจอมาว่า ถ้าเราลงแต่คลิปขายของคนก็จะไม่สนใจ ให้ลงคอนเทนต์ที่เป็นไลฟ์สไตล์เราด้วย คนจะติดตามที่ความเป็นตัวตนเรา แพทก็ทำตาม แล้วปรากฏว่าคนดูคลิปพวกนี้มากกว่าคลิปที่ขายของเยอะมาก จนบางอันมียอดวิวหลักหลายแสน ทีนี้แบรนด์ที่เป็น local business ก็เริ่มติดต่องานเข้ามา ให้เราไปรีวิวสินค้าหรือร้านให้ เราก็เลยเริ่มรับงาน จากจุดประสงค์ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์เลยค่ะ


2. จุดเริ่มต้นของ Victoria’s Closet & Co มาจากอะไรครับ? อะไรเป็นจุดที่ทำให้คุณแพทอยากลุยธุรกิจสายเครื่องประดับ โดยเฉพาะพวก clip-on กับ custom name jewellery ?

มาจากโควิดล้วน ๆ เลยค่ะ จริง ๆ ตอนนั้นแพทเรียนอยู่ที่บริสเบน แล้วช่วงที่กำลังจะเรียนจบก็มาได้งานที่บริษัทสื่อแห่งนึง ที่เมลเบิร์น ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี 2019 แล้วพอมาปี 2020 โควิดมา แพทก็ตกงานช่วงเดือนเมษายน ตอนนั้นก็เคว้งอยู่ช่วงนึง เพราะกลับไทยก็ไม่ได้ ทุกที่ล็อกดาวน์หมด ก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเริ่มจากลองทำเว็บไซต์ขึ้นมาเอง ซึ่งตอนนั้นเองยังไม่รู้จะขายอะไรเฉพาะเจาะจงเลย ก็ขายสะเปะสะปะไปเรื่อย มีขายบิกินี่ ขายแว่นตา ขายกระเป๋า เคสโทรศัพท์ แต่มันมีสินค้านึงที่เราขายและใช้เองด้วยนั่นคือ clip on earrings

ซึ่งตอนนั้นเว็บไซต์เราก็ทำเองทั้งหมดเลยตั้งแต่ต้น ก็ดูจาก Youtube เอา แล้วตอนนั้น shopify เค้าก็มีโปรโมชั่นสามารถทำเว็บกับเค้าได้ฟรี เราก็เลยนั่งทำไปเรื่อยๆ เพราะอย่างที่บอกว่าช่วงล็อกดาวน์มันว่าง เราก็นั่งปั้นเว็บของเราไปเรื่อย ๆ ก็ใช้เวลา 3-4 เดือน แล้วพอวันที่เปิดตัวเว็บไซต์ มันก็ขายของได้เลย เพราะตัวเว็บไซต์เราทำให้มันติด SEO มาตั้งแต่แรก ๆ แล้ว อันนี้อยากแนะนำกับผู้อ่านทุกท่านเลย ว่าถ้าอยากเริ่มทำเว็บไซต์ ให้ลองใช้ของ shopify มันใช้ง่ายจริง ไม่ซับซ้อนเลยค่ะ

สำหรับชื่อแบรนด์ Victoria’s Closet & Co มันมาจากการที่บ้านเราตอนนั้นอยู่ใกล้ตลาดควีนวิคตอเรีย เราก็ตั้งใจจะเอาของไปขายที่ตลาด แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ไปขายเลย เพราะพอเราเปิดตัวเว็บไซต์ ลูกค้าก็คือมาจากทั่วโลก 80% คือมาจากในออส และ 20% มาจากต่างประเทศ ทำให้เรารู้ว่าจริงๆก็ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านก็ได้ ไม่ต้องไม่เสียเวลาทั้งวันขายของ และต้องเสียค่าเช่าที่อีก ก็ขายผ่านออนไลน์ไปเลยอย่างเดียวแล้วกัน แต่ชื่อที่ตั้งตอนนั้นก็ใช้มาจนทุกวันนี้ค่ะ

image supplied


3. จากคนที่เรียนด้าน Journalism มา แล้วต่อยอดมาเรียน Marketing & Communication ที่ออส — มันมีอะไรจากสองสายนี้ที่ช่วยให้คุณแพททำแบรนด์ได้แข็งแรงขึ้นไหมครับ?

ต้องบอกว่าสิ่งที่เรียนมา มันก็มาจาก 20 ปีที่แล้ว แต่มันได้เอามาใช้กับยุคนี้ได้พอดี เพราะยุคนี้ทุกคนเป็นสื่อด้วยตัวเองกันอยู่แล้ว เราก็ใช้ความรู้ในการทำสื่อ สกิลการอ่าน การวิเคราะห์ เอามาเรียบเรียงใหม่ บวกกับความรู้ด้านการตลาดที่มาเรียนเพิ่ม พอเอาสองสิ่งมารวมกัน ทำให้เราทำตัวเองออกมาเป็นสื่อ แล้วก็สามารถขายของออนไลน์ผ่านทางช่องทางของเราได้ ทุกวันนี้โลกออนไลน์มันทำให้ทุกคนมีพื้นที่ อยู่ที่ว่าเราจะใช้พื้นที่นั้นสื่อสารออกไปหาลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน


4. ช่วงเริ่มธุรกิจเจอความท้าทายอะไรบ้างครับ โดยเฉพาะกับการขายออนไลน์ในประเทศใหม่อย่างออสเตรเลีย ที่คาแรคเตอร์ลูกค้าไม่เหมือนไทยเลย

ด้วยความที่เราเริ่มต้นธุรกิจจากการที่เราไม่ได้วางแผน มันทำให้ระหว่างทางเวลาที่เราเจออุปสรรคอะไรที่เราไม่ได้คาดคิด มันก็ทำให้เราสะดุดมาเรื่อย ๆ เช่น ตอนที่เราขายได้ออเดอร์แรก เราก็ตกใจ เพราะยังไม่ทันคาดคิดว่าจะมีลูกค้าสั่งเข้ามาตั้งแต่วันแรกเลย คือลูกค้าส่วนใหญ่มาจาก google search เพราะเราตั้งใจทำให้เว็บไซต์เราเป็น SEO friendly (Search Engine Optimisation) สุด ๆ อยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลขนาดนี้ คือไม่ได้เตรียมตัวว่าจะมาออเดอร์เข้ามาเยอะมากตั้งแต่ช่วงแรก เราเลยไม่ได้สต็อกสินค้าไว้เยอะ มันเลยเกิดเหตุการณ์ที่เราส่งของไม่ทัน แต่ก็ยังดีว่าที่เราเป็นคนทำเว็บไซต์เองตั้งแต่แรก เราเลยไปตั้งค่า ให้สินค้ามันปล่อยไหลตามจำนวนสต็อกที่เรามี ซึ่งอันไหนที่มันหมด ก็จะขึ้นเป็นพรีออเดอร์ ซึ่งลูกค้าก็จะรับรู้ล่ะว่าเค้าต้องรอสินค้านะ ก็จะไม่มีเหตุการณ์ที่เค้ามาเหวี่ยงใส่เรา เรื่องการสื่อสารกับลูกค้าเลยเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะอย่างอันนี้คือเค้ารู้ว่าต้องรอตั้งแต่ตอนกดสั่งสินค้าแล้ว

อีกเรื่องที่เจอในช่วงเริ่มต้นคือ ตอนนั้นเป็นช่วงล็อกดาวน์ แล้วที่เมลเบิร์นค่อนข้างเคร่งมาก คือจะออกไปไหนต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่ก่อน ซึ่งการที่เราจะออกจากบ้านเพื่อไป Aus post เราก็ต้องโชว์หลักฐานให้เจ้าหน้าที่ดูว่าเราออกไปทำงานนะ ไม่ได้ไปเดินเล่น ซึ่งมันค่อนข้างจริงจังเลย เราต้องมีเอกสารติดตัวเลย ว่าชื่ออะไร มีเลข ABN อะไร ทำธุรกิจอะไร และจะออกไปทำอะไร คือเราต้องโชว์ทุกอย่างให้เค้าดูเลยค่ะ

image supplied


5. ในฐานะคนที่อยู่ทั้งฝั่งคนขาย และฝั่งคนสร้างคอนเทนต์ด้วย คุณแพทคิดว่าการสร้างแบรนด์ออนไลน์ทุกวันนี้เป็นยังไง ?

แพทมองว่า ณ ปัจจุบันเลยนะ ถ้าใครยังมองว่าการทำโซเชียลมีเดีย คือต้องทำภาพสวย ๆ เหมือนภาพโฆษณาคือมันเชยไปแล้ว เพราะคนที่เล่นโซเชียลมีเดียเค้าไม่ได้อยากดูโฆษณาแบบนั้นแล้ว แพทเลยคิดว่าทุกวันนี้เราต้องทำให้มันดูเข้าถึงง่าย เป็นแบบคนใช้สินค้าจริงออกมาพูด ไม่ได้มาเป็นสคริปต์แบบสมัยก่อนแล้ว แบบอารมณ์ User Generated Content (UGC) แพทว่ามันต้องมาทางนั้นมากกว่า โดยเฉพาะถ้า target ของแบรนด์เป็นกลุ่ม young generation คือ 35 ลงมาเค้าก็จะไม่ดูพวกรูปแบบโฆษณากันแล้ว


6. กลยุทธ์ออนไลน์ที่คุณแพทใช้ในการดึงดูดลูกค้าใหม่ หรือรักษาฐานแฟนคลับ มีเทคนิคอะไรที่อยากแชร์บ้างไหม?

ที่ร้านแพทจะมีการเก็บข้อมูลลูกค้าทั้งหมด แต่ลูกค้าต้องยินยอมนะคะ โดยแพทจะมีการสื่อสารกับลูกค้าแพทตลอดเวลา มีการส่งเมลหาลูกค้า แจ้งโปรโมชั่นต่าง ๆ แต่ต้องอย่าส่งบ่อยเกินไปนะคะ เพราะเดี๋ยวเค้าจะบล็อกเราแทน หรืออย่างช่วงปีใหม่ แพทจะมีการส่งของขวัญให้กับลูกค้าที่เป็น top spender ของเรา คือแพทวางตัวเหมือนเป็นแบรนด์ใหญ่ ๆ เลย เพราะเรารู้สึกว่าลูกค้าที่มาซื้อเรา และซื้อซ้ำ ๆ เราต้องเก็บเค้าไว้

สำหรับลูกค้าใหม่ ตอนนี้หลัก ๆ ก็จะใช้เป็น influencers ต่างชาติ การใช้อินฟลูมันก็เหมือนเราไปเช่าพื้นที่การแสดงสินค้าของเค้า ดังนั้นคนที่เห็นก็จะเป็นกลุ่ม followers ของเค้า นี่เป็นจุดนึงที่เราได้ลูกค้าใหม่มาจากฐาน followers แต่ละคนเลย

อีกอันที่ทำแล้วเวิร์คมาก ๆ และเราให้ความสำคัญมาตั้งแต่ต้นเลยคือ การทำ SEO เราพยายามทำคีย์เวิร์ดให้ครอบคลุมทุกคำ ที่คิดว่ามันจะมาเกี่ยวกับสินค้าเราได้ เราก็จะทำให้มันไปยึดหน้าแรกของคีย์เวิร์ดนั้นให้ได้ สำหรับแพทคิดว่า Google นี่สามารถทำให้ลูกค้าเข้ามาที่เว็บไซต์เราได้มากที่สุดเลย ในบรรดาการทำ Ads ทั้งหมด

7. เครื่องประดับของคุณแพทเลือก material ได้หลายแบบเลย — มีออเดอร์ไหนที่น่าประทับใจสุด ๆ บ้างไหมครับ?

ส่วนใหญ่ลูกค้าแพทจะทำเป็นสร้อยชื่อ คือฝรั่งเค้าก็มักจะมีชื่อโหลใช่ไหม แล้วคนที่ชื่อไม่โหลเค้าก็จะหาอะไรที่เป็นชื่อตัวเองยาก แล้วเค้าก็จะมีความภูมิใจนิด ๆ กับชื่อเค้า ซึ่งเราก็สามารถทำได้ทุกชื่อเลย ยกตัวอย่าง ก็จะมีเคสแบบที่เค้าเอาลายมือของญาติผู้ใหญ่ที่เสียไปแล้ว เอามาทำเป็นสร้อย ซึ่งเค้าก็ดีใจมากที่ได้สร้อยที่เป็นชื่อเค้าจากลายมือคุณย่า ซึ่งหาที่ไหนในโลกไม่ได้แล้ว

image supplied

8.สำหรับคนที่อยากเริ่มขายของออนไลน์ในออส โดยเฉพาะคนที่ไม่มีแบ็กกราวด์ด้านมาร์เก็ตติ้งมาก่อน หรือคนที่ยังไม่มีทุนหรือประสบการณ์มาก คุณแพทมีอะไรที่อยากฝากไว้ให้เป็นแรงใจหรือแนวคิดไหมครับ ?

แพทว่าเริ่มต้นจากของที่เรามีอยู่แล้ว หรือราคาไม่แพง และถ้าเป็นไปได้เริ่มต้นจากของที่ไม่ต้องมี restrictions เยอะ ๆ แบบพวกครีมบำรุง วิตามิน เพราะมันจะมีเรื่องของกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ไปขายสินค้าที่มันไม่ต้องวุ่นวายเยอะดีกว่า และอย่างที่แพทเล่าว่า แพทเริ่มขายออนไลน์จาก Shopify เดือนนึงประมาณ $50 มันก็ไม่ได้ลงทุนอะไรมาก ช่วงแรกก็อาจจะยังไม่ต้องยิงโฆษณาอะไรเยอะ ให้ไปเน้นการทำ SEO แล้วก็ทำคลิปลงโซเชียลมีเดียดีกว่า มันไม่ต้องลงทุนเรื่องเงินเลย แต่อยากเน้นให้ทำให้ต่อเนื่องดีกว่า อย่าทำแบบเดือนเดียว พอไม่เห็นผลก็ท้อ เราต้องอดทน

อย่างของแพทใช้เวลาทำเว็ยไซต์ 3 เดือน ตอนที่เริ่มขายเดือนแรกยอดก็ยังไม่ได้เยอะ ก็ประมาณหลักพักดอล แต่มันจะมีช่วงที่ก้าวกระโดดของช่วงประมาณ 3 เดือนหลังเปิดขาย คือก็จะมีลูกค้าเก่าที่ซื้อไปเดือนแรก เริ่มกลับมาซื้อซ้ำ บวกกับลูกค้าใหม่ที่ยังเข้ามาเรื่อย ๆ แพทมีตั้ง KPI ไว้คือ ลูกค้าเก่าที่จะต้องกลับมาซื้อซ้ำคือ 20-30% ของทุกเดือน ซึ่งถ้ามันเป็นไปตามนี้ ยังไงยอดก็โต

9. สุดท้าย ถ้าให้สรุปความเป็นคุณแพทในคำสั้น ๆ สักหนึ่งประโยค

เป็นคนไม่กลัวผิดพลาด ทำอะไรคือทำไปเลย ถ้ามันผิดพลาดก็ให้คิดว่ามันคือค่าบทเรียน ดังนั้นอย่ากลัว ทำไปเลยค่ะ

10. อยากฝากอะไรเพิ่มเติมอีกไหมครับ

อยากฝากไว้อีกนิดคือ ทำอะไรอย่าทำให้มันเป็นแค่งานอดิเรกนะ พูดจริง ๆเลยอย่างแพททำคอนเทนต์ คือแพทแพลนเลยว่า วันนี้จะไปถ่าย วันนี้จะกลับมาตัด คือทำให้มันจริงจังทุกอย่าง ทำให้มันเป็นงานเลย อย่าทำเป็นของเล่น เพราะถ้าเรามองว่ามันเป็นแค่งานอดิเรก เราจะไม่ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ ไหน ๆ ก็ทำแล้วใส่แรงกับมันให้เต็มที่ไปเลยค่ะ

ติดตามคุณแพทได้ที่

Victoria’s Closet & Co: instagram.com/victoriasclosetco

Pat Narissa: tiktok.com/@narissa.narissa


บทความอื่น ๆ


สนใจถ่ายรูปอาหาร โปรดักส์สินค้า หรือทำการตลาด ติดต่อได้ที่

Facebook: www.facebook.com/TheNontouch
Instagram: www.instagram.com/the.nontouch
Email: thenontouch@gmail.com

Sydney, Melbourne, Brisbane, Gold Coast, Sunshine Coast, Adelaide, Canberra

Previous
Previous

ร้านเครปหนึ่งเดียวในบริสเบนที่เกิดจากความรักในการทำขนมของคุณแพตตี้

Next
Next

แชร์ประสบการณ์จาก ‘คุณนนท์’ เจ้าของธุรกิจ B2B สู่การเปิดร้านอาหารไทยกลางซิดนีย์